" เรียนรู้เรื่องราวชีวิตของบุคคลดังจากทั่วทุกมุมโลก ที่สร้างผลกระทบต่อโลกของเรา "

Albert Einstein (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) - จิตนาการสำคัญกว่าความรู้





อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ (Albert Einstein) สุดยอดนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม เจ้าของโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1921

อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม1879 ที่เมืองอูล์ม  ราชอาณาจักรเวือร์ทเทมแบร์ก สมัยจักรวรรดิเยอรมัน ห่างจากเมืองชตุทท์การ์ทไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก ประเทศเยอรมนี บิดาชื่อ แฮร์มานน์ ไอน์สไตน์เป็นพนักงานขายทั่วไปและทำการทดลองเกี่ยวกับไปฟ้าเคมี มารดาชื่อ พอลลีน ครอบครัวของไอน์สไตล์เป็นชาวยิว ไอน์สไตล์เข้าเรียนในโรงเรียนประถมคาธอลิก เค้าเริ่มเรียนคณิตศาสตร์เมื่อตอนอายุ 12 ปี เนื่องจากไอน์สไตล์มีความคิดความอ่านช้ากว่าเด็กทั่วไป เพราะว่าเค้ามีอาการของโรคคาวมพิการทางการและเขียน (Dyslexia) และมีโครงสร้างสมองที่แปลกและหาได้ยากมากสำหรับคนทั่วไป

ในปี 1894 หลังจากที่ธุรกิจในด้านไฟฟ้าเคมีของพ่อประสบความล้มเหลว ครอบครัวของไอน์สไตล์จึงย้านที่อยู่จากเมือง มิวนิคไปยังเมืองพาเวียในประเทศอิตาลี ทำให้ไอน์สไตล์ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยม กลางฤดูใบไม้ผลิ ในปี 1895 แล้วจึงตามครอบครัวของเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองพาเวีย จากการเค้าลาออกจากโรงเรียนโดยไม่ผ่านการเรียนหนึ่งปีครึ่งรวมถึงการสอบไล่นั้นหมายถึงเขาจะไม่ได้รับใบรับรองการศึกษาชั้นเรียนมัธยม

แม้ว่าเขาจะมีความสามารถชั้นเลิศในสาขาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่การที่เขาไร้ความรู้ใด ๆ ทางด้านศิลปศาสตร์ ทำให้เขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในเมืองซูริค (ETH) ทำให้ครอบครัวเขาต้องส่งเขากลับไปเรียนมัธยมศึกษาให้จบที่อารอในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสำเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุปริญญาในเดือนพฤศจิกายน  1986 และสอบเข้า ETH ได้ในเดือนตุลาคม แล้วจึงย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซูริค ในปีเดียวกัน เขากลับมาที่บ้านเกิดของเขาเพื่อเพิกถอนภาวะการเป็นพลเมืองของเขาในเวอร์เทมบูรก์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ไร้สัญชาติ แต่ในปี 1900 เขาได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิส และได้รับสิทธิ์พลเมืองสวิสในปี 1901

ผลงานของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ ที่มีชื่อเสียง

ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
ในปี ค.ศ.1914 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ทำให้ทุกหนทุกแห่งวุ่นวาย โดยเฉพาะในยุโรป แต่ถึงอย่างนั้นในปี ค.ศ.1915 ไอน์สไตน์ก็ยังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และออกตีพิมพ์หนังสืออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายต่างก็ไม่เข้าใจในทฤษฎีข้อนี้ แต่ด้วยความที่ไอน์สไตน์เป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขาได้ อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีในหลายลักษณะเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า มีรถไฟ 2 ขบวน ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวน ทางไป ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจจะรู้สึกว่ารถไฟกำลังวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้น อัตราเร็ว ทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน

ทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory)
ในปี ค.ศ.1921 ไอน์สไตน์ได้เสนอผลงานออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ ทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory) และจากผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ และรางวัลจากอีกหลายสถาบัน ได้แก่ ค.ศ.1925 ได้รับเหรียญคอพเลย์ จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน ค.ศ.1926 ได้รับเหรียญทองราชดาราศาสตร์ ค.ศ.1931 ดำรงตำแหน่งนักค้นคว้าของวิทยาลัย ไครสต์เชิร์ช แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ค.ศ.1933 เขาได้รับเชิญจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของ สถาบันบัณฑิตวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (Institute for Advance Study at Princeton, New Jersey) นอกจากนี้ทฤษฎีของเขายังสามารถล้มล้างทฤษฎีของจอห์น ดาลตัน (John Dalton) นักฟิสิกส์และเคมีชาวอังกฤษที่ว่า "สสารย่อมไม่สูญไปจากโลกเพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกไปได้อีก" แต่ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนที่ เล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้นจึงสามารถแยกออกได้อีก

ระเบิดปรมาณู
ในปี ค.ศ.1939 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 6 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ประเทศสหรัฐ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ และรัสเซีย และฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อมาช่วงกลางปี ค.ศ.1945 เยอรมนี และอิตาลี ได้ยอมแพ้สงครามเหลือเพียงแต่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ยอมแพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งลูกระเบิดปรมาณู เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ระเบิดปรมาณูได้ทำการทดลองสร้างขึ้นในระหว่างสงครามครั้งนี้ ซึ่งมีไอน์สไตน์เป็นผู้ริเริ่ม และควบคุมการผลิต ลูกระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกได้ทำการทดลองทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายกว่า 150,000 คน แต่ญี่ปุ่นยังไม่ประกาศยอมแพ้ ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดอีก 1 ลูก ที่เมืองนางาซากิ (Nagasaki) ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกกว่า 100,000 คน เช่นกัน ลูกระเบิด 2 ลูก นี้ ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม และปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เพียงเท่านี้

18 เมษายน 1995 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย ที่โรงพยาบาลในเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 76 ปี ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 300 ชิ้น และงานอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น ปี 1999 นิตยสารไทมส์ยกย่องให้เขาเป็น "บุรุษแห่งศตวรรษ"

Read more ...

Vladimir Putin (วลาดีมีร์ ปูติน) - ซาร์แห่งรัสเซีย





วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน หรือ วลาดีมีร์ ปูติน เกินเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1952 โตมาจาก อพาร์ทเมนต์ ของระบอบคอมมิวนิสต์เดิมที่ เลนินกราด ปู่เขาเป็นคนครัวของ Stalin พ่อเป็นทหารประจำเรือดำน้ำ ครอบครัว ของเขารอดตายจากการปิดล้อม เลนินกราด (Leningrad ปัจจุบันคือเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก) ของพวกเยอรมัน ในปี 1941 ฮีโร่ของเขาตอนเด็กคือ ยูริ กาการินซึ่งเป็นเด็กโซเวียตทั่วๆไปในตอนนั้น

เมื่ออายุได้ 16 เค้าได้รับแรงบัลดาลใจเรื่องการเป็นสายลับ จากหนังเกี่ยวกับสายลับที่เป็นที่นิยม ในเวลานั้นการที่จะเป็นสายลับได้มีอยู้สองทางคือ ต้องไปเป็นทหารหรือไม่ก็ต้องจบนิติศาสตร์ ปูตินจึงตัดสินใจเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเลนินกราด (มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ในสาขานิติศาสตร์และภาษาเค้าจบการศึกษาด้วยคะแนนที่สูงโด่ดเด่น KGB เค้าจึงได้รับการติดต่อจาก KGB (หน่วยสืบราชการลับสหภาพโซเวียต เรียกย่อๆว่า KGB) ให้เข้าร่วมงาน ก่อนเริ่มทำงานเป็น KGB เต็มตัวที่เยอรมันตะวันออก

ในปี 1989 หลังกำแพงเบอร์ลินถึงการสิ้นสุดลง (กำแพงเบอร์ลินเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็น มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีตะวันตกกับเยอรมนีตะวันออก) ปูตินกลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเลนินกราดซึ่งเป็นที่ที่เค้าจบมา ในช่วงเวลานี้ปูตินสนินกับ อนาโตลี ซอปแชค (Anatoly Sobchak) ซึ่งต่อมาชายคนนี้จะกลายมาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในชีวิตการเมืองและยังเป็นคนที่ร่วมร่างรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐรัสเซีย ต่อมา อนาโตลี ซอปแชค ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เค้าเสอนชื่อ ปูตินเป็นประธานของคณะกรรมการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ผลงานที่สำคัญของเค้าคือ การดึงเอาธนาคารของต่างชาติมาเปิดทำการในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก การทำเขตส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมีบริษัทอย่าง โคคา-โคล่า ยิลเลตต์ เข้ามาตั้งโรงงาน การปรัลปรุงระะบสายเคเบิ้ลใยแก้ว สร้างระบบแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศเป็นต้น

ในเดือน สิงหาคม 1991 เกิดการรัฐประหารโค่นล่มรัฐบาลของนาย มิคาอิล กอร์บาชอพวึ่งนำโดยหัวหน้า KGB วลาดิมีร์ ครุสชอฟ (Vladimir Krychkov) เมื่อทราบข่าว ปูตินตัดสินใจยืนใบลาออกจาก KGB เป็นครั้งที่สอง เพื่อป้องการการถูกดิสเครดิตในภายหลัง

ในปี 1996 หลังจากที่ อนาโตลี ซอปแชค ไม่ได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นผู้ว่าของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ปูตินจึงลาออกจากงานที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เค้าถูกเรียกตัวเข้าไปทำงานในกรุงมอสโคว์ เข้ารับหน้าที่เป็น รองประธานกรมบริหารธุรกิจ ซึ่งดูแลงานด้านการค้าต่างประเทศ

ในปี 1997 ปูตินจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ และเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยในสำนักบริหารงานประธานาธิบดีและประธานของกรมบัญชาการของประธานาธิบดี

ในปี 1998 เป็นรองประธานอันดับหนึ่งของสำนักบริหารงานประธานาธิบดีและยังได้รับการแต่งตั้งผู้อำนวยการของ Federal Security Service (FSB) หรือว่า KGB เดิม

ในปี 1999 ดำลงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัสเซีย ในสมัยของประธษนาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย ในปีเดียวกัน บอริส เยลต์ซิน ลาออกจากตำแหน่ง ปูตินจึงเข้ารักษาการแทนในตำแหน่งประธานาธิบดี

ในปี 2000 ปูตินได้รับเลือกเแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 เค้าดำเนิกการจัดรูปแบบการบริหารประเทศ โดยรัสเซียซึ่งเป็นระบบสหพันธ์ มีเขตปกครอง 89 แห่ง ถูกนำมาจัดเป็น 7 กลุ่ม และรัฐบาลกลางส่งผู้แทนเข้าไปดูแลเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารโดยเฉพาะการควบคุมกำลังทหารและความมั่นคง

จากการทำงานอย่างหนักในเวลาหลาย ในปี 2012 เค้าก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยเสียงสนับสนุน 63.6% ตั้งแต่ 2000 - 2007 ภายใต้การบริหารของ ปูตินเศรษฐกิจรัสเซียขบาบตัวเฉลี่ยในอัตรา 7% มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก อัตราความยากจนลดลง 30% เหลือ 14% ในปี 2008
Read more ...

Robert Pera (โรเบิร์ต เปรา) - 1 ใน 10 มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก





Robert J. Pera หรือ Robert Pera ผู้ก่อตั้งบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่าง Ubiquiti Networks หนุ่มน้อยมหัสจรรย์ ผู้ก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งระดับมหาเศรษฐีของโลก โดยที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี

Pera เกิดวันที่ 10 มีนาคม 1978 โดยได้รับการเลี้ยงดูใน Silicon Valley, San Francisco เค้าได้เริ่มจัดตั้งบริษัทที่ให้บริการด้านคอมพิวเตอร์ในขณะที่ยังเรียนอยู่ในระดับมัธยม ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายและฐานข้อมูลเพื่อธุรกิจในท้องถิ่น อีกทั้งเค้ายังเป็นนักบาสเกตบอลซึ่งเล่นให้กับทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน หลังจากจบชั้นมัธยม Pera เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ University of California , San Diego ที่นี่เขาจบการศึกษาด้านวิทยาศาสตรบัณฑิตวิศวกรรมไฟฟ้าและนิเทศศาสตรบัณฑิตในภาษาญี่ปุ่น อีกทั้งเปรายังสำเร็จการศึกษาในปริญญาโท สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่มีความสำคัญกับการสื่อสารแบบดิจิตอลและการออกแบบวงจรอีกด้วย


ร่วมการกับ Apple


หลังจากจบการศึกษา Pera ได้เข้าร่วมการกับ Apple โดยในขณะที่ทำงานที่แอปเปิ้ล Pera สังเกตเห็นว่าการกระจายสัญญาณของอุปกรณ์ WiFi ในบริษัทมีค่าสูงกว่าที่ FCC (Federal Communications Commission คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร) กำหนดไว้มาก โดยสามารถกระจายสัญญาณออกไปได้ไกลเป็นสิบไมล์ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ไม่มีโทรศัพท์และบริษัทเคเบิลยังเข้าไปไม่ถึง เค้าจึงเสอนความคิดต่อบริษัท แต่ความคิดของเค้าก็ถูกปฎิเสธ Pera จึงตัดสินใจดำเนินการด้วยตัวของเค้าเอง เพื่อที่จะสร้างระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูง

ปีถัดมา เค้าใช้เวลาในแต่ละคืนและวันหยุดสุดสัปดาห์ในการทดสอบระบบต้นแบบในพาร์ทเมนท์ของเขา โดยช่วงต้นปี 2005 เขาก็พร้อมที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง โดยการลาออกจาก Apple และเริ่้มต้นธุรกิจของเค้า Ubiquiti Networks


Ubiquiti Networks


Pera ก่อตั่ง Ubiquiti Networks ในเดือนมีนาคม 2005 โดยใช้เพียง $30,000 ซึ่งเป็นเงินจากการออมและหนี้จากบัตรเครดิต 

Ubiquiti ผลิตภัณฑ์ที่มาจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในการกระจายอินเตอร์เน็ตไร้สาย ไปยังพื้นที่ที่ด้อยโอกาสเช่น พื้นที่ชนบทและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งขาดโครงสร้างพื้นฐานในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านลู่ทางแบบดั้งเดิมเช่นสายโทรศัพท์และสายเคเบิล ภายใต้การนำของ Pera Ubiquiti Networks มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องโดย มากกว่าร้อยละ 70 ของยอดขายอยู่นอกทวีปอเมริกาเหนือและกว่า 20 ล้านอุปกรณ์ Ubiquiti ได้รับการใช้งานในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก

Read more ...

Richard Branson (ริชาร์ด แบรนสัน) - เป็นเจ้าของธุรกิจกว่า 360 บริษัท





เซอร์ ริชาร์ด ชาร์ลส นิโคลาส แบรนสัน หรือ ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) นักธุรกิจชาวอังกฤษ ผู้ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจกว่า 360 บริษัท โดยใช้ชื่อการค้า "เวอร์จิ้น"

ริชาร์ด แบรนสัน เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม 1950 ที่ Blackheath, London พ่อเป็นทนายความ (Edward James Branson) แม่เป็นอดีตนักเต้นบัลเล่ต์และอดีตแอร์โฮสเตส (Eve Branson) ซึ่งแบรนสันเป็นพี่คนโตจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน โดยยังมีน้องสาวอีกสองคน แบรนสันได้รับการศึกษาที่ Scaitcliffe School ซึ่งเป็นโรงเรียนเตรียมในเบิร์กเชียร์ (Berkshire) ต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ Stowe School เป็นเป็นโรงเรียนเอกชนซึ่งตั้งอยู่ บักกิงแฮมเชอร์ (Buckinghamshire) จนอายุ 16 ปี แบรนสันมีอาการของโรค dyslexia หรือ โรคความบกพร่องในการอ่านหนังสือ ซึ่งทำให้เค้าเรียนได้ไม่ดีเหมือนกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ โดยในวันสุดท้ายของการเรียนนั้นครูใหญ่ของเค้า  Robert Drayson  ได้ทำนายไว้ว่า "ถ้าริชาร์ด แบรนสันไม่เข้าคุก ก็ต้องเป็นมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร้จอย่างแน่นอน"



ธุรกิจบันทึกเสียง



แบรนสันเริ่มต้นธุรกิจจากห้องใต้ดินของโบสถ์โดยเริ่มทำนิตยสารรายเดือนสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย ชื่อว่า Student ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 แบรนสันสัมภาษณ์บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคนรวมทั้ง Mick Jagger และ R. D. Laing และเริ่มขยายธุรกิจจัดจำหน่ายแผ่นเสียงทางไปรษณีย์ จากการที่เขาขายแผ่นเสียงที่หาซื้อได้ยาก หรือที่มีขายแค่ในลอนดอน ผ่านทางไปรษณีย์ เพราะเขามองเห็นถึงโอกาส และเพื่อต่อต้านการผูกขาดของร้านขายแผนเสียงใหญ่อย่าง HMV ข้อได้เปรียบคือเขาขายราคาถูกกว่าตามร้าน 15% ผ่านทางโฆษณาในนิตยสาร Student ของเขาเอง

ในปี 1969 ตอนอายุ 19 ปี เขาได้บทเรียน ราคาแพง คือต้องติดคุกเป็นเวลา 1 คืน และต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 60,000 ปอนด์ (ประมาณ 3,120,000 บาทในปัจจุบัน จากการที่พ่อและแม่ของเขาเอาบ้านไปจำนอง) เนื่องจากการหลีกเลี่ยงภาษีจากการขายแผ่นเสียงของเขา เขาและเพื่อนๆ ใช้เวลา 3 ปี ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ขยายธุรกิจให้เร็วที่สุด เพื่อชดใช้หนี้ก้อนโต

ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง และชอบการผจญภัย เขามองหาธุรกิจใหม่ ซึ่งต่อยอดจากธุรกิจเดิม เปิดธุรกิจห้องบันทึกเสียง เริ่มทำธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับดนตรี ร้านค้าปลีก โรงงานผลิตแผ่นเสียง และเริ่มผลิตแผ่นเสียงในสังกัดของตัวเอง ในปี 1971 ซึ่งมีศิลปินมีชื่อ อย่าง ฟิล คอลลินส์, เซกซ์ พิสทอลล์ ,  วงเจเนซิส และ ปีเตอร์ แกเบรียล


ธุรกิจสายการบิน


ในปี 1984 เข้าได้ความคิดในการสร้างสายการบินราคาประหยัด  Virgin Atlantic จากการที่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ ที่ผู้โดยสารที่จะเดินทางจากเกาะเวอร์จิน ไปยังเปอร์โตริโก ถูกลอยแพ เนื่องจากมียกเลิกเที่ยวบิน ด้วยการตัดสินใจอย่างฉับพลัน และการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เขาได้ทำการเช่าหมาลำเครื่องบินหนึ่งลำ ในราคา 2,000 ดอลลาร์ (ราว 60,000 บาท) แล้วประกาศขายตั๋วเครื่องบินในนาม Virgin Airline  เที่ยวเดียว ในราคา 40 ดอลลาร์ (1,200 บาท) ต่อหัว ผลก็คือผู้โดยสารซื้อตั๋วเครื่องบินอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่นาน

ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกับ แรนดอล์ฟ ฟิลด์ส ทนายความชาวอมริกัน ก่อตั้งสายการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติิกในราคาพิเศษ เวอร์จิ้นแอตแลนติก แอร์เวย์ส เพื่อแข่งกับสายการบินใหญ่อย่าง บริติช แอร์เวย์ส

ริชาร์ด แบรนสัน ขยายบริการอย่างรวดเร็วไปยังท่าอากาศยานใหม่ๆ ขยายเครือข่ายเส้นทางบินจาก ลอนดอนไป อเมริกา แคริเบียน และเอเชีย  จนกระทั่ง สร้างสายการบิน เวอร์จินออสเตรเลีย






ริชาร์ด  แบรนสันไม่เคยหยุดนิ่ง เขาลงทุนทำธุรกิจใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวอร์จิ้นคอมมิวนิเคชั่น เวอร์จิ้นโคล่า เครื่องสำอาง ไนต์คลับ เวอร์จิ้นไบรด์ และสินค้าเสื้อผ้า และเวอร์จินกาแลคติค ที่จะพาคนไปท่องเที่ยวอวกาศ

Read more ...

Elon Musk (อีลอน มัสก์) - Iron man ในชีวิตจริง





เปิดประเด็นบุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจ อีลอน มัสค์ (Elon Musk) ยอดนักคิดค้นนวัตกรรมผู้เปลี่ยนโลก ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ที่ให้บริการทางการเงินอย่าง PayPal บริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Motors และ SpaceX บริษัทขนส่งอวกาศที่โด่งดังระดับโลก บุคคลผู้เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจที่สำคัญ ให้กับบทบาทของ “Tony Stark” ในภาพยนตร์เรื่อง Iron man

อีลอน มัสค์ (Elon Musk) เกิดวันที่ 28 มิถุนายน 1971 ที่เมืองพริทอเรีย (Pretoria), กาวเต็ง (Gauteng) ประเทศแอฟริกาใต้ พ่อเป็นวิศวกรไฟฟ้าและวิศวกรเครื่องกล ส่วนแม่เป็นนักโภชนาการ หลังจากที่พ่อแม่หย่าร้างกันในปี่ 1980 มัสค์จึงอาศัยอยู่แอฟริกาใต้กับพ่อที่ต่อไป ระหว่างนั้นมัสค์ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเมื่ออายุ 12 ปี มัสค์ได้เขียนโค้ดวิดีโอเกมอวกาศชื่อว่า Blastar และขายไปในราคา 500$

ต่อมามัสค์ได้เข้าศึกษาต่อใน Waterkloof House Preparatory School หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมจาก Pretoria Boys High School เมื่ออายุ 17 ปี เค้าได้ย้ายไปแคนนาดาในปี 1988 หลังจากที่ได้รับสัญชาติแคนาดาจากแม่ของเค้า เมื่ออายุ 19 ปี มัสค์ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย Queen's University ในเมืองคิงส์ตัน (Kingston) รัฐออนแทรีโอ (Ontario) ประเทศแคนนาดา ในระหว่างการเรียนปริญญาตรีมัสค์ย้ายถสถานศึกษาไปยังมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย (University of Pennsylvania) โดยที่นี่เค้าได้รับปริญญาสองใบคือ ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาฟิสิกส์และปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตในสาขาเศรษฐศาสตร์จาก Wharton School (University of Pennsylvania เรียกย่อๆว่า Wharton)


Zip2


ในปี 1995 มัสค์เริ่มต้นโครงการ Zip2 กับพี่ชายของเค้า Kimbal (Kimbal Musk) Zip2 เป็นบริษัทซอฟต์แวร์เว็บไซค์ มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาและทำการตลาดบนอินเทอร์เน็ตในชื่อ "city guide" สำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์หนังสือพิมพ์ โดยมีการทำสัญญากับ The New York Times และ the Chicago Tribune มัสค์ทุ่มเทอย่างมากกับ Zip2 เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ แล้วในที่สุดในปี 1999 มัสค์ก็ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Zip2 ให้แก่นักลงทุนเป็นเงิน 3.6$ ล้านเหรียญ ในปีเดียวกันบริษัท Compaq Computer ได้ซื้อ Zip2 เป็นเงิน $307 ล้านเหรียญ โดยมัสมีส่วนแบ่ง 22 ล้านเหรียญ มัสกลายเป็นมหาเศรษฐีด้วยวัยเพียง 28 ปี


X.com และ Paypal


ในปี 1999 มัสเริ่มบริษัทชื่อว่า X.com ด้วยเงิน $10 ล้านเหรียญจากการขาย Zip2 X.com เป็นธนาคารออนไลน์ และมัสได้สร้างความน่าเชื่อถือ โดยการสร้างวิธีการรักษาความปลอดภัยในการ โอนเงินผ่านที่อยู่อีเมลล์ของผู้รับ ในปี 2000 X.com ได้ซื้อบริษัทชื่อ Confinity ซึ่งได้เริ่มสร้างวีธีการโอนเงินผ่าน Internet หรือที่เรียกว่า PayPal. มัสได้เปลี่ยนชื่อ X.com/Confinity เป็น Paypal และทิ้งธนาคารออนไลน์แบบเดิมของบริษัท และมุ่งความสนใจกับการเป็นผู้ให้บริการการจ่ายโอนเงินทั่วโลก ในปี 2002 อีเบย์ได้ซื้อ Paypal เป็นเงิน $1.5 พันล้านเหรียญ และมัสได้ทำเงินเป็นจำนวน $165 ล้านเหรียญ จากการปันผลหุ้นอีเบย์


SpaceX


ในปี 2002 มัสค์ได้เริ่มบริษัท SpaceX หรือเป็นที่รู้จักในนาม the Space Exploration Technologies มัสเป็นสมาชิกที่ยาวนานของ Mars Society องค์กรไม่หวังผลกำไรที่ให้การสนับสนุน เรื่องการสำรวจดาวอังคาร และมัสยังสนใจก่อตั้งโครงการ greenhouse บนดาวอังคารอีกด้วย SpaceX ได้พัฒนาเทคโนโลยีจรวดเพื่อ ให้โครงการของมัสค์เป็นไปได้ Space X เป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่สามารถจัดเที่ยวบินไป-กลับไประหว่างโลก และสถานีบนอวกาศได้ มัสค์มีความฝันว่าวันหนึ่งเขาจะมีธุรกิจ ท่องเที่ยวระหว่างดวงดาวที่เปิดให้บริการสำหรับคนทั่วไป


Tesla Motors


นอกจากนี้ในปี 2004 มัสร่วมก่อตั้งบริษัท Tesla Motors ได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบสปอร์ต เรียกว่า the Tesla Roadster, the Model S เป็นโมเดลต้นแบบทางเศรษฐศาสตร์ เป็นรถซีดานไฟฟ้าสี่ประตู และวางแผนที่จะผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานแสงอาทิตย์ต่อไปในอนาคต





SolarCity

ในปี 2006 มัสค์ร่วมก่อตั้งบริษัท SolarCity เป็นบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำ อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า และบริษัทที่ให้การบริการ โดยร่วมกับหลานชื่อ Lyndon Rive













มัสค์ยังเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรมัสค์ ซึ่งทำการสำรวจอวกาศและค้นหาแหล่งพลังงานสะอาด องค์กรได้ดำเนินงาน โดยมีฐานสำรวจดาวอังคารอยู่ที่ southern Utah โดยออกแบบจำลองสภาวะบรรยากาศคล้ายดาวอังคาร ซึ่งผู้เยี่ยมชมสามารถพบกับประสบการณ์การใช้ชีวิตเหมือนอยู่บนดาวอังคาร รวมถึงการขับของเสียในห้องน้ำอีกด้วย ...




Read more ...